3 ข้อมูลสำคัญในการดูหุ้นกลุ่มธนาคาร

งบการเงินของหุ้นกลุ่มธนาคารมี 3 ข้อมูลสำคัญที่ควรรู้จักในการอ่านงบการเงิน ไปอ่านกันว่ามีอะไรบ้าง…

ส่วนใครชอบรับชมแบบวีดีโอ สามารถกดดูได้จากลิงค์นี้นะคะ

Image: http://www.freepik.com

1. NPL (Non-performing loans) หรือ “หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้”
ก่อนอื่นเรามารู้จักการจัดชั้นหนี้ ซึ่งมีอยู่ 5 ชั้น โดยแบ่งตามอายุการค้างจ่ายหนี้
(1) ชั้นปกติ อายุการค้างขำระหนี้ น้อยกว่า 1 เดือน ก็คือการชำระหนี้เกิดขึ้นตามปกติ ไม่มีปัญหาอะไร

(2) ชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ เริ่มที่จะมีปัญการจ่ายเงินต้น และดอกเบี้ย อายุการค้างชำระหนี้ อยู่ในช่วง 1-3 เดือน

(3) ชั้นต่ำกว่ามาตราฐาน อายุการค้างชำระหนี้ 3-6 เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ

(4) ชั้นสงสัย อายุการค้างชำระหนี้ 6-12 เดือน เป็นชั้นที่ไม่น่าจะได้รับเงินคืนเต็มจำนวน

(5) ชั้นสงสัยจะสูญ อายุการค้างชำระหนี้ นานกว่า 12 เดือน

และสุดท้ายจะมีอีกชั้นหนึ่ง คือ ชั้นสูญ ชั้นนี้จะเป็นชั้นที่ว่า การชำระเงินต้นและดอกเบี้ยจะไม่เกิดขึ้น เช่น ลูกหนี้ถึงแก่ความตาย/ สาญสูญ เลิกกิจการ เป็นหนี้ที่ฟ้องลูกหนี้ล้มละลาย ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดให้ตัดออกจากบัญชีทั้งจำนวนได้

NPL คือสินเชื่อที่ผิดชำระหนี้หนี้เกิน 3 เดือนติดต่อกัน ดังนั้นก็คือ ชั้นหนี้ ตั้งแต่ ชั้นที่ 3 “ชั้นต่ำกว่ามารตราฐาน” ลงมา

เมื่อตัวเลข NPL เริ่มสูงขึ้นนอกจากตั้งมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นธนาคารก็จะมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อได้ยากขึ้นเพราะไม่อยากให้มีหนี้สูญเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นการมี NPL ที่เพิ่มสูงขึ้นก็จะกระทบกับรายได้และกำไรของธนาคาร

นอกจากดูชั้นหนี้ที่จัดว่าเป็น NPL แล้ว อีกกลุ่มที่อาจต้องคอยดูคือ “ชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ” ที่อายุการค้างชำระหนี้ 1-3 เดือน ชั้นนี้รองลงมาจากชั้นปกติ และยังไม่ได้ถูกจัดเป็น NPL แต่ถ้าบริหารจัดการไม่ดี ชั้นนี้อาจตกชั้นมาเข้ากลุ่ม NPL ได้ง่าย จึงเป็นที่สนใจด้วยเช่นกัน

เวลาที่เราดูหุ้นกลุ่มธนาคารก็ควรมองเรื่องของหนี้เสียตรงนี้ไว้ด้วยนะ เราสามารถหาดูได้จาก “หมายเหตุประกอบงบการเงิน” หรือ “NOTES” ที่เป็นไฟล์แนบมากับงบการเงินฉบับเต็มได้ เขาก็จะมีเขียนแจกแจงไว้ในส่วนของ “เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ จำแนกประเภทการจัดชั้น” ว่า ลูกหนี้ของธนาคารอยู่ในชั้นไหน มีมูลค่าเท่าไหร่ และ NPL เท่าไหร่ ควรเทียบกับอดีตที่ผ่านมาด้วยมาเป็นยังไง และเทียบกับภาพรวมของกลุ่มด้วย

ซึ่งจะมีการนำมาคิดเป็น เงินใหสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ หรือ % NPLs gross คำนวณอัตราส่วนของ NPLs ต่อเงินให้สินเชื่อรวม


2. ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin หรือ NIM)
ก่อนอื่นมารู้จัก การคิดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของธนาคารจะมีการคิดอยู่ 3 วิธี NIM จะเป็นวิธีที่ 3 นะ มาเริ่มดูแต่ละแบบกัน คื

แบบที่ 1 Nominal spread คือ คิดจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก สูตรการคิดก็ง่ายๆ เลยคือ
Nominal spread = อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ – อัตราดอกเบี้ยจ่าย
เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารที่เป็น MLR อยู่ที่ 7% และดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ อยู่ที่ 0.5%

แบบนี้ก็คิดได้ว่า Nominal spread = อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ – อัตราดอกเบี้ยจ่าย = 7 – 0.5 = 6.5%

ซึ่งในการคิดลักษณะนี้จะบอกได้แค่ว่า มีความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อ และเงินฝากแบบใดแบบหนึ่งที่เจาะจงเท่านั้น

เพราะว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ธนาคารปล่อยให้ลูกค้าก็มีตั้งหลายเรท และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากก็มีทั้งแบบออมทรัพย์ แบบฝากประจำรายเดือน รายปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากก็ต่างกันไป จึงต้องมีการคิดส่วนต่างที่มีรายละเอียดเพิ่มขึ้น คือ วิธีที่ 2

แบบที่ 2 Effective spread คือ คิดจากส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรับเฉลี่ย และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจ่ายเฉลี่ย

เช่น อัตราดอกเบี้ยรับเฉลี่ย อยู่ที่ 5% และอัตราดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 1.5% ดังนั้น Effective spread ก็จะได้ 3.5%

จะเห็นว่า การคิดแบบนี้ก็เริ่มละเอียดขึ้นแบบการคิดเพียง nominal spread ธรรมดา ซึ่งค่า effective spread จะบอกได้ถึงภาพรวมของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากได้ดีกว่าแบบแรก

แต่ก็ยังไม่ครอบคลุม อัตราดอกเบี้ยของธนาคารอยู่ดี เพราะธนาคารมีดอกเบี้ยรับ และดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย มากกว่าแค่ เรื่องของสินเชื่อ และเงินฝาก เพราะธนาคารมีดอกเบี้ยรับการลงทุนในตราสารหนี้ ดอกเบี้ยจ่ายจากการออกตราสารหนี้ มีดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายจากการกู้ยืมกันเองระหว่างธนาคารด้วย ดังนั้นการคิดส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยแบบ effective spread จึงยังไม่ครอบคลุมในส่วนตรงนี้ จึงมีการคิดเรื่องส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้ครอบคลุมมากขึ้น คือ วิธีที่ 3

แบบที่ 3 Net Interest Margin (NIM) หรือส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ หรือ ผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิคิดมาจากแบบนี้
(รายได้ดอกเบี้ยรับ – ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย) / สินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้เฉลี่ย

รายได้ดอกเบี้ยรับ คือ รายได้จากเงินให้สินเชื่อ การกู้ยืมระหว่างธนาคาร จากการลงทุนในตราสารหนี้

ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย คือ รายจ่ายจากเงินรับฝาก เงินกู้ยืมสถาบัน การออกตราสารหนี้ เงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และสถาบันคุ้มครองเงินฝาก

สินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้เฉลี่ย เช่น เงินให้สินเชื่อ เงินลงทุน รายการระหว่างธนาคาร

จะเห็นว่าการคิดแบบ NIM นั้นจะบอกถึงความสามารถในการหารายได้ของธนาคารจากส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายทั้งหมด จึงเป็นอัตราส่วนทางการเงินตัวหนึ่งที่ไว้ใช้วัดผลกำไรเบื้องต้นในการดูหุ้นกลุ่มธนาคาร

3. ROE (Return on Equity) หรือ อัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น
คิดมาจาก กำไรสุทธิ/ ส่วนผู้ถือหุ้น
อัตราส่วนนี้จึงเป็นอีกอัตราส่วนที่สำคัญ เพราะเป็นการบอกว่า ท้ายที่สุดแล้ว ธนาคารนั้นๆ ทำผลตอบแทนกลับมาได้เท่าไหร่ จากเงินของผู้ถือหุ้นที่ได้ลงไป ค่านี้จึงยิ่งสูง ยิ่งดี

เช่น ถ้า ROE = 10% หมายถึงว่า ทุก 100 บ. จากเงินส่วนผู้ถือหุ้นที่ได้ลงไป ได้ผลตอบแทนกลับมา 10 บ.

และ ROE นั้นมีผลต่อการประเมินมูลค่าหุ้นกลุ่มธนาคารด้วย ซึ่งโดยทั่วไปการประเมินมูลค่าหุ้นกลุ่มธนาคารนั้นจะใช้ P/BV (price per book value) เนื่องจากทรัพย์สินของธนาคารส่วนใหญ่นั้นเป็นเงิน และเงินลงทุนต่างๆ ทรัพย์สินส่วนใหญ่จะใกล้เคียงกับมูลค่า และ ROE นั้นมีความสัมพันธ์กับ P/BV ยิ่ง ROE สูง การประเมินมูลค่าด้วย P/BV จะสูงขึ้น

ถ้าใครถือหุ้นกลุ่มนี้ หรือสนใจลงทุนหุ้นกลุ่มนี้ ก็ลองอ่านงบการเงินที่ออกมากัน

Advertisement

Published by DoctorWantTime

แพทย์ผู้ชื่นชอบการลงทุน

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

%d bloggers like this: