KAMART ปี 66 มีกำไรอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ

บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจนำเข้า และจัดจำหน่ายสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง, กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า และผิวกาย, กลุ่มอุปกรณ์ความงาม, กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และอื่นๆ

งบปี 66 ของ KAMART มีรายได้รวม 2,455.49 ลบ. เพิ่มจากปีก่อน 580.34 ลบ. หรือ 30.95% เมื่อเทียบกับปีก่อน และกำไรสุทธิจำนวน 660.96 ลบ. เพิ่มจากปีก่อนจำนวน 333.96 ลบ. หรือ 102.13%

ปี 66 มีรายได้จากการขายและบริการ จำนวน 2,397.52 ลบ. มีต้นทุนขายจำนวน 1,148.68 ลบ. ตรงนี้จะคิดอัตรากำไรขั้นต้น คือ (ยอดขาย-ต้นทุนขาย)/ยอดขาย = 52% (ของปี 66 อยู่ที่ 48%) ถือว่ารักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ดี

มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น ประมาณ 19%
มีกำไรจากการดำเนินงาน เป็นกำไรที่หักต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 675.96 ลบ.

และบริษัทมีกำไรจากการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในตราสารทุน 84.52 ลบ. เพิ่มขึ้น จากปีก่อนจำนวน 84.52 ลบ. หรือ 100% ตรงนี้น่าจะเป็นกำไรจากส่วนต่างราคาจาการถือหุ้น MGI เป็นกำไรที่เข้ามาในไตรมาส 4/66 หุ้น MGI มี IPO และเข้ามาจดทะเบียนในตลาด เมื่อ 14 ธ.ค. 2566 และ KAMART ถือหุ้น MGI 6,550,000 หุ้น (3.21% ของหุ้น MGI ทั้งหมด) กำไรตรงนี้จากส่วนต่างราคาของหุ้น MGI ถึงแม้ KAMART ไม่ได้ขายหุ้นออกไป

เนื่องจาก KAMART ถือหุ้น MGI ไม่ถึง 20% ซึ่งจะเรียกเงินลงทุนส่วนนี้ว่า เงินลงทุนในตราสารทุน (ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะเรียกเงินลงทุนเพื่อค้า/ เผื่อขาย) ซึ่งเงินลงทุนในตราสารทุนส่วนนี้ การบันทึกวิธีตามมูลค่ายุติธรรม ซึ่งก็คือตามราคาปิดของหุ้นนั้นในวันสิ้นงวดเทียบกับตอนต้นงวด (ส่วนต่างกำไร) ซึ่งบริษัทสามารถเลือกได้ว่า จะบันทึกทึกในส่วนงบกำไรขาดทุน หรือบันทึกในส่วนกำไรเบ็ดเสร็จอื่น

ถ้าบันทึกในส่วนงบกำไรขาดทุนแบบ KAMART บันทึกเงินลงทุนใน MGI การขึ้นลงของราคาหุ้น MGI จะส่งผลต่อกำไรสุทธิและกำไรต่อหุ้น(earning per share; EPS) ของ KAMART ได้ ดังนั้นการดูกำไรของ KAMART อาจต้องคอยตัดกำไรส่วนนี้ออก เพื่อจะได้เห็นถึงการดำเนินธุรกิจตามปกติ

แต่ถ้าบริษัทเลือกบันทึกในกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น จะไม่ส่งผลต่อกำไรสุทธิ และ EPS

ข้อมูลเพิ่มเติม
ถ้าถือหุ้น 20-50% จะเรียกบริษัทร่วม การบันทึกบัญชีจะบันทึกตามส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนหุ้นที่ถือ อย่างเช่นที่ JMART ถือสุกี้ตี๋น้อย 30% ซึ่งสุกี้ตี๋น้อยมีกำไรสุทธิทั้งหมดในปี 66 จำนวน 913 ลบ. JMART จะรับรู้กำไรในสัดส่วน 30% รับรู้กำไรจากสุกี้ตี๋น้อยเข้ามา = 30%x 913 = 274 ลบ.

ถ้าถือหุ้น 50-100% จะเรียกบริษัทย่อยต้องนำงบการเงินของบริษัทมาย่อยมารวมด้วย จะออกมาเป็นงบการเงินรวม เช่น PTT ถือหุ้น OR อยู่ 75% ในงบการเงินของ PTT จะรวมงบการเงินของ OR เข้ามาด้วย

ในงบปี 66 KAMART มีกำไรที่ไม่ได้จากการดำเนินปกติ (ดูได้จากงบกระแสเงินาดส่วนดำเนินงาน) ประมาณ 150 ลบ ถ้านำมาลบออกจาก 660 ลบ ก็จะได้ 510 ลบ ปี ุุ กำไรสุทธิ 327 ลบ ก็ยังเติบโต 50% YoY
………………………………………..
มีการอ่านงบการเงิน และข้อมูลหุ้นจริง ที่เรียบเรียง รวมรวบ เพิ่มเติมรายละเอียดอีกหลายเรื่อง ใน eBook “ส่องหุ้นด้วยงบการเงิน” สั่งซื้อกันได้จาก MEB และ OOKBEE

จาก Mebmarket
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzk5MzY0MSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI1ODc3MCI7fQ

หรือจาก OOKBEE
http://www.ookbee.com/Shop/Book/6d8e08bd-9913-4250-98be-4c9b7de73a44

Published by DoctorWantTime

แพทย์ผู้ชื่นชอบการลงทุน

ใส่ความเห็น